เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลามันเจริญมา เห็นไหม เวลาประเทศชาติเจริญขึ้นมา คนเจริญขึ้นมาแล้ว คนเกิดในประเทศชาติใด เจริญขึ้นมามันก็มีเครื่องอาศัย ทุกคนอยากไปอยู่ในประเทศชาตินั้น มันต้องมีความเจริญขึ้นมาก่อน มันถึงมีการทำลายกัน ถ้าไม่มีการเจริญขึ้นมาก่อน มันอยู่กันโดยเสมอภาค มันก็ไม่มีสิ่งใดหรอก
ดูสมัยโบราณ เห็นไหม ยุคหิน หินมันไม่กัดกร่อนในตัวมันเองนะ พอยุคโลหะ ยุคเหล็ก พอยุคเหล็กสังคมเปลี่ยนไปมหาศาลเลย พอมีพวกโลหะมีต่างๆ สังคมเปลี่ยนไป แต่มันก็ทำลายตัวมันเองตลอดไปนะ เจริญขนาดไหน ยิ่งเจริญมากขนาดไหน สิ่งที่ว่ามันเข้ามาเบียดเบียนกันในสังคมนั้นมันก็เร่าร้อนไป
แต่ถ้าเป็นยุคโบราณ เขาอยู่โดยธรรมชาติของเขา นี่สนิมมันกินในตัวมันเอง แต่ถ้าคนใช้ประโยชน์มัน เวลาเราสร้างบ้านสร้างเรือนด้วยเหล็ก เราพยายามกันสนิม เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้จะทำอย่างไรให้มันสวยงามขนาดไหนก็ได้ แต่เราก็ต้องมีการป้องกันมัน
ในความคิดของมนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าความคิดมันเป็นคุณงามความดี สิ่งนี้เป็นมรรคนะ ว่ามันเป็นความหยาบ คิดว่าอยากกระทำเป็นกิเลสกันหมด ไม่ใช่ ความอยากในสิ่งที่เป็นคุณงามความดีไง แต่ถ้าความอยากมันเป็นกิเลสทั้งหมด เราเกิดมาเราก็ไม่ต้องทำอะไรสิ มันก็เป็นนิพพานกันไปหมดใช่ไหม พอเกิดมามันก็นอนกันเฉยๆ แล้วมันจะเป็นไปกันได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีการกระทำ
แต่การกระทำอย่างนี้ นี่ถ้าโดยกิเลสมันหลอกตัวเอง เห็นไหม นี่สนิมมันกัดกร่อนตัวมันเองนะ ความคิดของกิเลสมันกัดกร่อนหัวใจเราเองนะ แล้วสิ่งที่จะเป็นคุณงามความดีคือสิ่งที่จะเป็นยากันสนิม เป็นสิ่งที่ป้องกันสนิมไม่ให้เกิดในตัวมันเอง มันบอกสิ่งนั้นเป็นกิเลสเลย แต่เวลาสนิมมันกัดตัวมันเอง มันไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นกิเลสนะ สิ่งนั้นมันทำลายตัวมันเอง
แต่เหล็กเวลามันผุกร่อนไปแล้ว มันไม่มี มันย่อยสลายไปหมดนะ แต่หัวใจมันไม่เคยย่อยสลายไป เพราะธาตุรู้นี้มันไม่เคยตาย แต่เวลากิเลสมันให้ผลขึ้นมา เวลามันคิดมันต้องการ มันเป็นตัณหาทะยานอยาก ผลที่เกิดขึ้นมาจากผลของมันคือผลที่เกิดจากกิเลสไง กิเลสมันแสวงหาสิ่งที่เป็นอกุศลขึ้นมา แล้วมันซับสมในหัวใจนี่ สิ่งที่หัวใจมันรับไว้มันทุกข์ร้อนมาก แต่ถ้ามันเป็นความอยากที่เป็นมรรคนะ เช่น เรากระทำกันอยู่นี้ ทำไมเราต้องแสวงหา นี่ดูสิแสวงหาเพื่ออะไร? เราจะทำบุญกุศลทำไมเราต้องแสวงหา แสวงหาเพราะอะไร? เพราะคนมันโง่คนฉลาดนะ
ดูสิ ดูเวลาทางแอฟริกานะ เขาขาดแคลนน้ำ เขาบอกว่าน้ำสกปรกถ้าเขามีร้อยลิตร กับน้ำสะอาดมีหนึ่งลิตรเขาจะเลือกอะไร? เห็นไหม แต่ด้วยการใช้สอย เขาก็ต้องเลือกร้อยลิตรเอาไว้ก่อน แต่ถ้าคุณประโยชน์ของมันหนึ่งลิตรของมันมีคุณประโยชน์มากกว่าเห็นไหม แหล่งน้ำเขายังต้องรักษาแหล่งน้ำที่บริสุทธิ์นะ แหล่งน้ำที่มันมีสารพิษ
นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำบุญกุศลของเรา ในความเชื่อ ใช่! ความเชื่ออันนี้ มันจะจริงไม่จริง กาลามสูตร ถ้าเราเชื่อว่า สิ่งนั้นดินนี้เป็นดินที่ดี แต่ดินเปรี้ยวไหม ดินนี้มันเป็นกรดไหม ถ้าดินที่มันเป็นคุณงามความดี พืชผลของเราเวลาหว่านลงไป มันก็มีประโยชน์กับเรา นี่เวลาทำคุณงามความดีไง สิ่งที่ว่าทำความชั่ว บาปอกุศลมันเป็นสิ่งที่รองรับ ผลรับคืออยู่ที่ใจ กิเลสมันทำให้เราทำชั่วนะ แต่ผลที่รับกิเลสมันไม่รับกับเรา เพราะกิเลสมันเกิดดับ ถ้ากิเลสมันเป็นเราจริงๆ พระอรหันต์เกิดขึ้นมาไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาไม่ได้ กิเลสนี้ฆ่าได้ กิเลสนี้ทำลายออกไปได้ กิเลสทำออกไปจากใจได้
แต่ขณะที่กิเลสมันเกิดกับเรา ดูสิดูคน ดูเด็ก เห็นไหม นี่กิเลสหยาบ กิเลสหนาต่างกัน กิเลสบางต่างกัน คนเรานี่นิสัยนุ่นนวลอ่อนหวานต่างกัน คนเราเข้มแข็ง คนเรานี่ สิ่งนี้มันเป็นว่ากิเลสมันต้องการสิ่งใด มันสะใจมันขนาดไหน เห็นไหม แต่ถ้าเป็นมรรคล่ะ มรรค เห็นไหม เราก็ต้องทำคุณงามความดี ที่เราแสวงหากันอย่างนี้ เขาบอกว่าทำไมทำให้เราเดือดร้อน ทำให้เราเดือดร้อน คนฉลาดต้องมีการแสวงหา คนฉลาดต้องขวนขวายของเรา เราต้องป้องกันของเรา ว่าเหล็กของเราจะไม่ให้มีสนิมกัดกร่อนมัน
นี่ประทุษร้ายสกุล ถ้าเป็นการประทุษร้ายสกุล เพราะมันต้องมีสกุลก่อน มันถึงให้ประทุษร้ายได้ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาพึ่งสองพันกว่าปีเอง นี่ยุคไหน ยุคที่เขามีความเจริญมาแล้ว ยุคโลหะมาแล้ว เห็นไหม นี่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ววางธรรมไว้ แล้ววางธรรมและวินัยไว้นะ ประทุษร้ายสกุล นี่ขนาดเราไม่เข้าใจ
ดูสิ ศรัทธาความเชื่อ ภิกษุทำให้ศรัทธาไทยตกร่วง ถ้าเขามีศรัทธาอยู่เราไปทำลายเขา นี่ทำให้เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แค่ทำศรัทธาไทยคือเขาทำศรัทธา แต่เวลาครูบาอาจารย์เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระนาคีตะ ตอนเย็นที่พระเขาจะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
นาคีตะนั้นใครเขามา ดั่งชาวประมงเขามาหาปลากัน
แม้แต่พระเขาบวชใหม่ แล้วจะมาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาทำใหัมีความกระทบกระเทือนในวัดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังให้ไล่ออกไปจากวัดนั้นเลย นี่เราบอกว่าทำศรัทธาไทยให้ตกร่วง ใช่ ศรัทธาเราไม่ตกร่วง แต่ศรัทธามันต้องพัฒนาสิ ศรัทธาอย่างหยาบๆ ขึ้นไปนี่ มันก็ละเอียดขึ้นไป เห็นไหม
นี่จากศรัทธาเป็นอจลศรัทธา เป็นศรัทธาของพระอริยเจ้า อจลศรัทธาใจนี่มันเข้าไปสัมผัสกับธรรมแล้ว ใครจะพูดอย่างไรมันก็ไม่เชื่อเขาหรอก ไม่ถือมงลคตื่นข่าวแน่นนอน ในเมื่อถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เห็นไหม ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วทำไมเวลาครูบาอาจารย์ท่านขึ้นไปหาครูบาอาจารย์ ทำไมท่านมีการโต้เถียงกันล่ะ
การโต้เถียงกันเพราะอะไร? เพราะว่าเรามีทิฏฐิอย่างนี้ ความเห็นของเรา เราเห็นทั้งหมด ความเห็นน่ะเห็นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง ถ้ายังมีกิเลสเจือปนอยู่ยังไม่เป็นความจริง ถ้ามีความจริงมันก็ต้องพัฒนา การพัฒนามีการโต้แย้งกัน การโต้แย้งกันนี้มันไม่ใช่เป็นการทำลาย มันเป็นการส่งเสริมกันไง การส่งเสริมการชี้ขุมทรัพย์
ถ้าเรามีการผิดพลาดในหัวใจ หัวใจเรามีเหลือบมีซ่อนเร้น กิเลสมันซ่อนเร้นในหัวใจของเรา แล้วกิเลสมันร้ายนัก เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส พอจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันผ่องใส มันสะอาดมันก็ว่ามันเป็นนิพพานๆ ไง ทั้งๆ ที่มันเป็นมารนะนี่ ไอ้ความผ่องใสนี้มันเป็นมารเพราะอะไร? เพราะวิปัสสนูกิเลส เห็นไหม โอภาส ความสว่างไสว สิ่งที่ความว่างนี่เป็นวิปัสสนูกิเลส เป็นกิเลสอย่างอื่นทั้งนั้นล่ะ มันเป็นกิเลสทั้งหมดเลย
แต่ถ้าเป็นความเห็นของเราล่ะ สิ่งที่มันสว่างไสวมันมีความสุข มันจะเป็นกิเลสไปได้อย่างไร แล้วเราก็จะนอนจมกับกัน นี่สนิมอันละเอียด สนิมที่มันกินตัวมันเองแล้วมันกัดกร่อนตัวมันเองไง แล้วเราก็เข้าใจว่าสนิมนี้มันเป็นธรรมๆ มันกัดกร่อนของมันอยู่ตลอดไป
แต่ครูบาอาจารย์บอกสิ่งนั้นมันนะ มันเป็นการติดข้อง มันเป็นสิ่งที่เป็นภวาสวะ เพราะความสว่างมันเกิดจากไหนล่ะ? ความว่างมันเกิดจากไหนล่ะ? สิ่งนี้มีฐานอยู่ มีที่ตั้งอยู่ สิ่งนี้มันมีฐานมีที่ตั้งอยู่ ความว่างเกิดจากใจ ความสว่างเกิดจากใจ ถ้ามีใจอยู่ มันเป็นภพ มันเป็นที่ตั้งของความรู้สึก ถ้าที่ตั้งของความรู้สึกนั้นคือยังมีที่เกิดอยู่ ยังมีที่เกิดที่ตายอยู่ เห็นไหม นี่มันก็ต้องมีการชี้แจงการชี้นำกัน แต่อุบายสิ อุบายการชี้นำนี่จะทำอย่างไร? ไม่ใช่บอกตรงๆ หรอก
ดูสิ เราสอนลูกเรา เราบอกว่าสิ่งนี้ผิดมันจะว่าไหม? ลูกเบื่อหน่ายพ่อแม่มากนะ พ่อแม่คอยติเตือนเบื่อหน่ายมากเลย ทำไมแม่ว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่แม่นะ เวลาทางคำพูดเห็นไหม นี่อาบน้ำร้อนมาก่อน นี่เด็กมันก็เบื่อมากเลย อาบน้ำร้อนมาก่อน แล้วพอเด็กมันโตขึ้นมามันก็เป็นอย่างนั้น นี่วุฒิภาวะ กาลเวลามันบังไว้นะ มันบังจิตของเรา ความรู้สึกเรา เราก็เจอสภาวะแบบนี้ แล้วพอเราไปมีลูกมีหลาน เราก็จะสอนอย่างนี้ตลอดไป
นี่มันบังกันไว้อย่างนี้ มันเป็นอดีตอนาคต แล้วบังปัจจุบันนี้ไว้ แล้วปัจจุบันเราว่าเราไม่เห็นเลย เราก็ยึดของเราว่าเรารู้เราเห็น นี่สิ่งที่พัฒนาอันนี้ จะบอกว่าถ้ามันทำลาย ศรัทธาความเชื่อของเขา เราไปโต้แย้งของเขา ไปทำศรัทธาของเขาตกร่วงลงไป เป็นอาบัติปาจิตตีย์
ในพระนะ เพราะต้องการให้ทุกคนมีการแสวงหา ให้ทุกคนมีความสนใจไง มีศรัทธา ถ้าไม่มีศรัทธาในทรัพย์ของมนุษย์ นี่ศรัทธาความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ เหมือนหัวรถจักร ที่มานั่งกันอยู่นี่มาจากอะไร? ถ้าไม่จากศรัทธาไม่มาจากความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อมันสามารถจูงเราไปทำสิ่งดีๆ ได้หมดเลย แล้วศรัทธาความเชื่อไปทำลายมัน มันจะจูงอะไรไปล่ะ? มันจูงไปไม่ได้เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อถึงได้เป็นอริยทรัพย์
อริยทรัพย์จูงให้เราได้เข้ามาฟังธรรม แล้วฟังธรรมทำให้เราพัฒนาขึ้นไหม ฟังธรรม เห็นไหม นี่มีอาหารมหาศาลเลย ดูสิ ดูแบบโกดังที่เก็บอาหาร เป็นโกดังๆ เลยนะ ถ้าเก็บเอาไว้อย่างนั้นมันก็เน่าเสียไป เพราะมันใช้ประโยชน์ไม่ได้ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ศรัทธาความเชื่อเราจะพัฒนามันขึ้นมาอย่างไร จะหล่อหลอมขึ้นมาอย่างไร เหมือนมีอาหารเลย เราไปซื้ออาหารมาเห็นไหม เราไปซื้อวัตถุดิบมาเพื่อจะเป็นอาหาร อย่างเช่น กับข้าวนี่ถ้าเราไม่ประกอบให้เป็นกับข้าวขึ้นมา วางไว้มันก็เน่าเสียเหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน ศรัทธาความเชื่อมันเจริญแล้วเสื่อม มันมีความเสื่อมนะ เอ๊ะ! ทำไมท่านเป็นอย่างนี้ เอ๊ะ! ทำไมศาสนาเป็นอย่างนั้น มันไม่เชื่อไปหมดเลย เพราะกิเลสอยู่ในหัวใจมันไม่เชื่อ มันเชื่อตัวมันเองเพราะอะไร? เพราะมันเป็นมาร ถ้าเรามีความเชื่อเราแก้ไขได้ ก็คือเข้าไปแก้ไขมัน
นี่สนิมในใจ ถ้าเราเข้าไปแก้สนิมในใจ สนิมมันยอมให้แก้ตัวมันไหม สนิมมันไม่รู้สึกตัวมันหรอก เพราะเราขึ้นไปทำมันขึ้นมาเพราะมันไม่มีชีวิต แต่กิเลสมันมีความรู้สึก มันเกิดจากจิต มันเกิดจากธาตุรู้นะ มันมีชีวิต มันมีการต่อต้านนะ เช่น เรามีศรัทธา เราจะมาประพฤติปฏิบัติ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้ ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ นี่คืออะไร? ขณะที่มันเคลื่อน เคลื่อนให้การประพฤติปฏิบัติได้เคลื่อนไหวออก นี่ผัดผ่อนไปอย่างนี้ แล้วทำบ่อยครั้งเข้าๆ เคยเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นคนโลเล เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนไม่จริงจัง ไม่จริงจังความจริงมันอยู่ที่ไหน? ความจริงอยู่ที่ใจ ใจนี้มันจริงอยู่แล้ว ถ้าสิ่งนี้ไม่จริงเข้าไป มันจะเข้าไปความจริงเข้าไปได้อย่างไร?
เราต้องมีสัจจะ มีอริยสัจ มีสัจจะขึ้นไปนี่มันจะไปกำจัดสนิมอันนั้น ถ้าสนิมอันนี้ไม่มี สนิมในหัวใจนี้ไม่มี มันจะไปประทุษร้ายสกุลไปได้อย่างไร ประทุษร้ายสกุล ประทุษร้ายสังคม ประทุษร้ายต่างๆ มันเป็นความประทุษร้ายเพราะอะไร? เพราะกิเลสในหัวใจของมันมีมุมมองที่แตกต่าง สิ่งที่มีความแตกต่างแต่ต้องเคารพของเขา เคารพความเห็นของแต่ละบุคคล
เพราะมันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ความเชื่อ ไม่ใช่ความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้วนี่ ถึงอริยสัจอันเดียวแล้วนี่ ไอ้ความเชื่อนั้นเป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนิน สิ่งนี้เป็นเครื่องดำเนินมาให้ถึงความจริงให้ได้ ถึงความจริงแล้วต้องเป็นอันเดียวกัน ถ้าความจริงไม่เป็นอันเดียวกัน เพราะความรู้สึกออกมาจากใจ
นี่ศูนย์ของธรรมะอยู่ที่หัวใจ เพราะศูนย์กลางของธรรมะอยู่ที่ความรู้สึกของใจ แล้วจะไปแก้ไขที่ใจ แล้วใจอันเดียวกันนี่มันจะไม่ไปถึงศูนย์กลางอันเดียวกันได้อย่างไร เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจอีกดวงหนึ่ง วิธีการต่างกัน แต่ถึงที่สุดแล้วผลต้องเหมือนกัน
เหมือนกับเราทานอาหาร อาหารแต่ละชนิด ของแต่ละชนชาติก็ไม่เหมือนกัน ผลของมันคือมันลงไปในกระเพาะแล้วอิ่มเหมือนกัน แต่มันจะให้สารอาหารกับร่างกายขนาดไหน มันก็เป็นอาหารแต่ละชนิดนั้นๆ
แต่ความอิ่มความพอใจของใจ เพราะอะไร? เพราะเราเกิดมามีร่างกายและจิตใจ ร่างกายนี้มันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา สิ่งนี้เสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา เราหายใจ อาหารอย่างหยาบๆ เห็นไหม อาหารคือคำข้าว อาหารอย่างละเอียดคือออกซิเจน คืออาหารของร่างกายนี่ เราไม่คิดว่ามันเป็นอาหารนะ
ดูสิ ดูเวลาเราดื่มน้ำ อาหารนี้ขาดแคลนได้ เราอดอาหารได้เพื่อผ่อนคลาย เพื่อจะไม่ให้ธาตุมันทับร่างกาย แต่น้ำอดไม่ได้เห็นไหม เวลาบวชนี่บริขาร ๘ มีทั้งบาตร มีทั้งธมกรก บาตรคืออาหาร ธมกรกคือเครื่องกรองน้ำ น้ำขาดไม่ได้ ชีวิตขาดการบำรุงไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนี่ สิ่งใดเป็นประโยชน์จะวางไว้ๆ แล้วป้องกันไว้ตลอดหมดเลย แม้แต่ผ้าเวลาได้ผ้ามาเห็นไหม นี่ต้องมีวิกัปไว้ เพราะอะไร? เพราะถ้าเป็นของตนเองมันจะนั่งฝันเลยนะ จะทำอย่างนี้ๆ นี่เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมและวินัยไว้เพื่อป้องกันกิเลสของเราไว้หมดเลย เพราะกิเลสในหัวใจเราไม่ทันน่ะ แต่เวลาธรรมวินัยเราก็จะไปประทุษร้าย อย่างนี้ก็ไม่จำเป็นๆ ทั้งๆ ที่เราโง่นะ ตาบอดนะ มันยังเถียง กิเลสมันเถียงกันตลอดไป แม้แต่มันไม่เห็นนะ มันก็เถียงไว้ก่อน ทั้งๆ ที่กิเลสมันยังไม่ได้สัมผัสใจมันเลยนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ ถ้าวางธรรมวินัยไว้ เราประทุษร้ายธรรมและวินัย แล้วไม่ประทุษร้ายความรู้สึกตัวเราเอง ถ้าจิตมันเข้าไปสัมผัสแล้ว
ครูบาอาจารย์บอกเลย นี่เวลาเราปฏิบัติเข้าไปแล้วถึงธรรมแล้วจะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากหัวใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร ดูอย่างหลวงปู่มั่นสิ ถ้าหลวงปู่มั่น ในพระไตรปิฎกในประเทศไทยไม่มีหรอก พระไตรปิฎก แล้วครูบาอาจารย์ไม่มีหรือ นักปราชญ์ในเมืองไทยไม่มีเหรอ มีมหาศาลเลย แล้วหลวงปู่มั่นไปปรึกษาใคร ปรึกษาใครไม่ได้เห็นไหม
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ย้อนกลับไปที่ใจ นี่จิตเข้าไปสมาบัติแล้วน้อมจิตเข้ามานี่ มโนสัญเจตนาหาร ความเป็นมโน เป็นธาตุ เป็นสภาวะที่ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส นี่น้อมนำกันไม่ได้ นิพพานมันมีอย่างนี้ไง สัมผัสได้จากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแจงวิธีการ นี่วางธรรมอย่างไรๆ มันให้เข้ากับกาลสมัย
ดูสิกาลสมัย เห็นไหม เดี๋ยวนี้การประพฤติปฏิบัติต้องเจริญๆ แล้วพระจะมาสวนกระแสสังคมได้อย่างไร แต่ถ้ามันมีความมุ่งมั่นกับการชำระกิเลสนะ สิ่งนี้กิเลสเราอยากชนะมันเลย แล้วการกระทำแค่บริหารจัดการ ความดำรงชีวิตให้ถูกธรรมวินัย เพื่ออะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ธรรมวินัยเข้าไปถึงหัวใจอยู่แล้ว ทวนกระแสตลอดไป
เราจะไปสะดวกสบายเหมือนกับโลกเขาได้อย่างไร เพราะเรื่องของโลกเขาเป็นเรื่องของกิเลส เรื่องของความมักง่าย เรื่องของธรรมนี่เป็นเรื่องของการดัดแปลง การขัดเกลา การดัดแปลงกิเลส การดัดแปลงไม่ให้มันสะดวกสบายเกินไป ถ้ามันเห็นโทษๆ มันก็จะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ
สิ่งนี้มันเป็นการทำลาย ไม่ประทุษร้ายสกุล สกุลของธรรมและวินัย สกุลของชาวพุทธเรา ชาวพุทธเรา เห็นไหม อภัยทาน ให้ทาน ให้อภัยทาน มีการเจือจานกันไป นี้เรื่องของโลก แต่เรื่องของสัจจะความจริงมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือในหัวใจมันอีกเรื่องหนึ่งเพราะมันเข้าไปถึงความละเอียด เห็นไหม นี่มรรคหยาบ มรรคละเอียดความดีอย่างหยาบ ความดีอย่างกลาง ความดีอย่างละเอียด ความดีอะไร? แล้วความดีนี่ช่วยเหลือเจือจานกันได้ตลอดไป ความดีจากภายนอก อย่างนี้เราเจือจานกันไป นี้เรื่องของโลกนะ
ดูสิพ่อแม่ของเรานี่เป็นพระอรหันต์ในบ้าน เราได้กตัญญูกตเวทีได้เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่บุญกุศลมหาศาลเลย เพราะอะไร? เพราะโลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าโลกไม่มีการดูแลกัน ไม่มีการรักษากัน โลกมันจะอยู่กันได้อย่างไร โลกอยู่ได้อย่างนี้ นี่เรื่องของโลก
แล้วเรื่องของธรรมล่ะ เรื่องของธรรม นี่เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในมหายานบอก เจอพุทธะฆ่าก่อน เพราะเจอพุทธะคือตัวสถานที่ ตัวที่ตั้ง ถ้าไม่มีแล้วมันเป็นนามธรรมนะ ถ้าเป็นมนุษย์เราฆ่านี่คือบาปกรรม แต่ความคิด ความดำริ ความชั่ว ฆ่ามันเป็นบุญกุศล เพราะอะไร? เพราะมันไม่เกิดอีกไง มันจะเกิดอีกก็เกิดอีกไม่ได้ เพราะฆ่าใหม่ๆ มันยังไม่ขาด มันก็ยังเกิดดับๆ อยู่ ถ้าหมั่นคราด หมั่นไถขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดแล้วนี่ เราฆ่าทิฏฐิมานะ ความเห็นผิด มันเป็นบาปกรรมที่ไหนล่ะ เราไปฆ่ากิเลสมันเป็นบุญกุศลสิ แต่ฆ่าคนเป็นบาป ฆ่ากิเลสเป็นบุญ เอวัง